ทำความเข้าใจกับ Price Impact และ Slippage ของราคาใน DeFi
บทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับหลักการพื้นฐานของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Exchange) รวมถึงกลไกของ Automated Market Maker, Price Impact และ Slippage ของราคา
สรุปใจความสำคัญ
- แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์ (DEX) เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ขับเคลื่อนการเติบโตของ Decentralized Finance โดย DEX ที่พบเห็นได้ทั่วไปมากที่สุดกลุ่มหนึ่งคือ DEX ที่ใช้เป็น Automated Market Maker (AMM) อย่างไรก็ตาม AMM อาจได้รับผลกระทบจาก Price Impact และ Slippage ของราคาได้
- Price Impact คือผลกระทบที่การเทรดรายการหนึ่งจะมีต่อราคาสินทรัพย์ได้ ซึ่งมักมีผลเป็นสัดส่วนตามขนาด Order
- Slippage ของราคา เป็นค่าความแตกต่างระหว่างราคาที่ดำเนินการกับราคาที่คาดหวัง
- DEX และ AMM ต่างๆ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรเทาปัญหา Price Impact และ Slippage ของราคานี้เอง
จากโปรโตคอลยุคเริ่มต้นในปี 2017 จนถึง DeFi Summer อย่างยิ่งใหญ่ในปี 2020 และจาก MakerDAO ที่มาก่อน Ethereum สู่โปรโตคอลกว่า 2,000 เจ้าข้ามหลายสิบ Chain Decentralized Finance (DeFi) ได้กลายเป็นเซกเตอร์ที่สำคัญภายในอุตสาหกรรมบล็อกเชนและคริปโทเคอร์เรนซี ทั้งนี้ แพลตฟอร์ม DeFi ได้นำเสนอบริการทางการเงินที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งดำเนินการโดยไม่ต้องใช้ตัวกลาง และทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมสินทรัพย์และผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น หัวใจของการเติบโตของ DeFi คือการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์ (DEX) และ Automated Market Maker (AMM) ซึ่งก็เป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์ประเภทหนึ่ง ที่ได้เสนอแพลตฟอร์มให้ใครก็ได้มาแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านโปรโตคอลได้ในทันที
DEX และ AMM
แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบรวมศูนย์ (Centralized Exchange) แบบดั้งเดิมจะอาศัย Order Book และระบบจับคู่เพื่ออำนวยความสะดวกในการเทรด อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์มรวมศูนย์เหล่านี้ก็มักอยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่เข้มงวด ดังนั้น จึงมีการเปิดตัว DEX ต่างๆ เพื่อจะให้บริการทางการเงินในแบบที่เปิดกว้างและดำเนินการแบบอัตโนมัติมากขึ้น DEX เหล่านี้สร้างขึ้นโดยใช้ Smart Contract และอาศัย Liquidity Pool ที่ผู้ใช้เป็นผู้สนับสนุนทุนให้ด้วยการฝากสินทรัพย์ดิจิทัลไว้ และผู้ใช้เหล่านี้ (ผู้ให้บริการสภาพคล่อง) จะได้รับส่วนแบ่งจากค่าธรรมเนียมการเทรดที่เกิดจากแพลตฟอร์มเป็นการตอบแทน
ทุกคนสามารถเทรดกับ Liquidity Pool เหล่านี้ด้วยการฝากสินทรัพย์ชนิดหนึ่งเข้ามาและในขณะเดียวกันก็ถอนสินทรัพย์อีกชนิดหนึ่งออกไป โดยอัตราส่วนการแลกเปลี่ยนของสินทรัพย์ 2 ชนิดนี้ (นั่นคือ ราคาของสินทรัพย์ทั้ง 2 ชนิด) จะกำหนดโดยสูตรคณิตศาสตร์ ซึ่งจะประกันว่าการเทรดนั้นจะดำเนินการได้ในทันทีและในราคาที่ค่อนข้างยุติธรรม ทั้งนี้ AMM ที่ได้รับความนิยมกันก็เช่น Uniswap, SushiSwap และ Balancer
AMM รุ่นแรกเรียกว่า Constant Function Market Maker โดยมีประเภท AMM ที่พบได้มากที่สุดเรียกว่า Constant Product Market Maker (CPMM) โดย AMM เหล่านี้จะสร้างโดยใช้ฟังก์ชันง่ายๆ ฟังก์ชันเดียว คือ x × y = k เมื่อ x และ y คือจำนวนสินทรัพย์ทั้ง 2 ชนิดใน Liquidity Pool และ k เป็นค่าคงตัวที่กำหนดตามอำเภอใจ
ฟังก์ชันง่ายๆ นี้เป็นนำไปสู่การสร้างสิ่งที่คล้ายกับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนที่ใช้ Order Book ขึ้น คือการซื้อจะดันราคาสินทรัพย์ขึ้น และการขายจะดึงราคาสินค้าลง โดยยิ่งคุณซื้อมากก็จะมีต้นทุนต่อหน่วย (Per-Unit Cost) มากขึ้น และในทางกลับกันถ้าซื้อน้อยก็จะมีต้นทุนต่อหน่วยน้อยลง
แต่ CRMM ก็มีข้อเสียในตัวเองจำนวนหนึ่งทีเดียว ข้อเสีย 2 อย่างที่ชัดเจนที่สุดคือการมี Price Impact และ Slippage ของราคา
Price impact
Price Impact หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาในตลาดเมื่อนักเทรดซื้อหรือขายสินทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่ง สำหรับ CPMM แล้ว Price Impact จะกำหนดโดยขนาดของรายการเทรดเมื่อเทียบกับขนาดของ Liquidity Pool โดยรายการเทรดขนาดใหญ่จะมี Price Impact ที่มีนัยสำคัญมากกว่า ทำให้มูลค่าของโทเค็นทั้ง 2 ชนิดเบี่ยงเบนออกไปจากราคาตลาด
ยกตัวอย่างเช่น หากนักเทรดพยายาม Swap USDT จำนวนมากเป็น ETH ใน Liquidity Pool คู่ ETH-USDT ราคาของ ETH (ใน Pool นี้) จะปรับตัวสูงขึ้น โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจากสูตรผลิตภัณฑ์ที่คงตัว (Constant Product Formula) ซึ่งต้องคงความสมดุลไว้เสมอ และการเพิ่มขึ้นของอุปทาน USDT ใน Pool จะต้องชดเชยโดยการลดจำนวน ETH ที่มีอยู่ เนื่องจาก Pool เหล่านี้ดำเนินการโดยอัตโนมัติ จึงจะไม่ได้มีการปรับอุปทานหรือราคาเพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่งทำให้ไม่มีอะไรหยุดไม่ให้ราคา ETH ใน Liquidity Pool เบี่ยงเบนไปจากราคาตลาดได้ จนกว่าจะมีคนอื่นเข้ามาวาง Order ในทิศทางตรงข้ามกัน
Slippage ของราคา
Slippage ของราคาเกิดขึ้นเมื่อราคาที่ดำเนินการสุดท้ายของรายการเทรดมีความแตกต่างจากราคาที่คาดหวัง โดยในบริบทของ CPMM ตัว Slippage ของราคาโดยมากก็มักเกิดจาก Price Impact นั่นเอง ทั้งนี้ เป็นไปได้ว่าว่าเมื่อคุณส่ง Order ของคุณ ก็มีคนอื่นที่ได้ดำเนินการรายการเทรดของตนไปแล้ว ซึ่งเป็นผลให้เกิด Price Impact ปริมาณหนึ่งกับสินทรัพย์ที่ถูกซื้อไป บุคคลดังกล่าวอาจเป็นนักเทรดที่สุจริตหรือเป็นคนที่ทำการเทรดแบบตัดหน้าโดยประสงค์ร้ายที่มาพบ Order ของคุณใน Mempool สาธารณะ และตัดสินใจที่จะจ่ายค่าธรรมเนียม Gas เพิ่มเพื่อส่ง Order ก่อนคุณและทำกำไรจาก Slippage ของคุณก็ได้
Slippage เป็นข้อกังวลที่พบบ่อยข้อหนึ่งสำหรับ DEX หลายแห่งด้วยกัน โดยเฉพาะเมื่อดำเนินการรายการเทรดขนาดใหญ่หรือทำการเทรดสินทรัพย์ที่ไม่มีสภาพคล่อง เพื่อเป็นการลดปัญหาดังกล่าว ผู้ใช้สามารถตั้งค่า Slippage Tolerance สูงสุดสำหรับการเทรดของตนได้ หาก Slippage ปรับตัวเกินเกณฑ์นี้ไป ระบบก็จะไม่ดำเนินการธุรกรรมของผู้ใช้ อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวอาจเป็นผลให้ธุรกรรมดำเนินการไม่สำเร็จและเป็นการเพิ่มค่าธรรมเนียม Gas ได้ เนื่องจากผู้ใช้ต้องส่งรายการเทรดใหม่ด้วย Slippage Tolerance ที่สูงขึ้น หรือต้องรอให้สภาวะตลาดดีขึ้นเสียก่อนนั่นเอง
สรุปปิดท้าย
Price Impact และ Slippage ของราคาเป็นข้อด้อยที่ใหญ่ที่สุด 2 ข้อเมื่อใช้ AMM และ DEX เพื่อรับประสบการณ์การเทรดแบบทันทีทันใด โดยในขณะที่ระบบนิเวศ DeFi ยังคงมีการพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ก็มีโซลูชันอื่นๆ เช่น Concentrated Liquidity, Proactive Market Maker และ Formulated Market Maker เกิดขึ้น และได้ทดสอบกลไกที่ได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน และในขณะเดียวกัน โปรเจกต์อย่าง Sei ก็กำลังพยายามนำแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Exchange) ที่ใช้ Order Book ทั้งอันมาไว้บน Chain
อย่างไรก็ตาม เรายังมีทางออกแสนง่ายดายทางหนึ่งที่ให้คุณได้แต่ข้อดีไม่มีข้อเสียไปเลย คือ Bitget และ Bitget MegaSwap นั่นเอง ดำดิ่งลงไปสู่คอลเลกชันผลิตภัณฑ์การเทรดที่แข็งแกร่งของเรา และรับประสบการณ์การเทรดที่ดีสุดที่แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบรวมศูนย์ (CEX) สามารถให้คุณได้ หรือเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ MegaSwap เพื่อทำการเทรดได้ในทันที นึกโทเค็นอะไรได้ก็แทบจะมีหมด ที่ราคาดีที่สุดที่หาได้จากทั่ววงการ DEX ส่วนใหญ่ทีเดียว
- คู่มือการวิเคราะห์กำไรและขาดทุน (PNL) ใน Bitget Spot2024-10-17 | 15m